วิธีบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตเจริญปัญญา เป็นการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนามาปฏิบัติจนเห็นผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโน้มน้าวและถ่ายทอดให้เด็กและเยาวชนปฏิบัติตามโอวาท 3 คือ เว้นชั่ว ทำดี ฝึกจิตให้ผ่องใสบริสุทธิ์ ซึ่งขยายความได้ดังนี้
เว้นชั่ว------------>ด้วยการรักษาศีล
ทำดี----------------->โดยประพฤติธรรม
ฝึกจิตให้ผ่องใส------------------------->ด้วยการฝึกสติ บริหารจิต เจริญปัญญา
รักษาศีล
-ไม่ ฆ่าไม่เบียดเบียนกัน
- ไม่ลักขโมย
-ไม่ล่วงละเมิดสิ่งที่ผู้อื่นรักและหวงแหน
-ไม่พูดเท็จ (เว้นวจีทุจริต)
-ไม่เสพของเสพติดให้โทษ
ประพฤติธรรม
- ประกอบสัมมาชีพ
- มีเมตตากรุณา
- สำรวมในกาม
- รักษาสัจจะ
- มีสติสัมปชัญญะ
บริหารจิตเจริญปัญญา
ฝึกสติปัฏฐาน 4 ได้แก่
- ระลึกรู้ในกาย (กายานุปัสสนา)
- ระลึกรู้ในเวทนา (เวทนานุปัสสนา)
- ระลึกรู้ในจิต (จิตตานุปัสสนา)
- ระลึกรู้ในธรรมะ (ธัมมานุปัสสนา)
ประโยชน์ของการบริหารจิตเจริญปัญญา(ฝึกสติปัฏฐาน 4)
๑. รู้จักตนเอง / เข้าใจตนเอง2๒ เข้าใจธรรมชาติ
๒.มีและอยู่กับเหตุผล
๓.ไม่หวั่นไหวในสุข / ทุกข์
๔. สิ้นทุกข์โดยปราศจากตัวตนและความยึดมั่น
ความหมายของการเจริญปัญญา คือ การฝึกจิตใจให้เกิดปัญญาโดยให้มีสติรู้เท่าทันสภาวธรรมที่เกิดขึ้นที่จิตตามความเป็นจริง มิให้จิตยินดียินร้ายไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นที่จิต ซึ่งเป็นการฝึกจิตให้เข้มแข็งให้เป็นอิสระจากอาสวกิเลสที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้ง 6 สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเจริญปัญญาก็คือ การฝึกจิตให้มีสติสัมปชัญญะ
ปัญญา แปลว่า ?
ปัญญา แปลว่า ความรู้ คือ ความรอบรู้ ได้แก่ รู้รอบ และรู้สึก คำว่ารู้รอบ หมายถึง รู้เป็นระบบ รู้ว่าสิ่งทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เห็นความสำพันธ์ระหว่างเหตุและผลว่าปัญหาต่างๆ มีสาเหตุหรือเกิดจากเหตุใด ส่วนรู้สึก คือ ความรู้ที่มองเห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังนั้นมีสาเหตุหรือความเป็นมาอย่างไร
ประเภทของปัญญา
พระพุทธศาสนาแบ่งแหล่งกำเนิดของความรู้หรือปัญญาออกเป็น ๓ ประการ ได้แก่
๑) สุตมยปัญญา : ปัญญาที่เกิดจากการฟัง หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียนหรือการฟัง เป็นการรับรู้ข้อมูลจากแหล่งความรู้ภายนอก
๒) จิตตามยปัญญา : ปัญญาที่เกิดจากการคิด หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากการคิด การพิจารณาหาเหตุผล ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานของจิตภายในตัวเรา
๓) ภาวนามยปัญญา : ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ ซึ่งต้องผ่านการลองผิดลองถูก
ประโยชน์ของปัญญา
๑) ทำให้วินิจฉัยเรื่องราวต่างๆได้ถูกต้องจะรู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกสิ่งใดมีคุณสิ่งใดมีโทษต้องอาศัยปัญญาเป็นเครื่องตัดสินถ้ามีปัญญาน้อยโอกาสที่จะตัดสินถูกก็ย่อมมีน้อย
๒) ทำให้มองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ย่อมเกิดจากหลายเหตุหลายปัจจัยรวมกันไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆโดยไม่มีเหตุบางเรื่องมีเหตุสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งคนมีปัญญาเท่านั้นจึงจะสามารถมองทะลุโดยตลอดได้อย่างหมดข้อสงสัย
๓) ทำให้แก้ปัญหาชีวิตได้คนมีปัญญาแม้ว่าจะประสบความทุกข์ใหญ่หลวงมากเพียงใดก็สามารถใช้ปัญญาผ่อนคลายความทุกข์และแก้ไขให้หมดไปได้
๔) ทำให้รู้ทางเสื่อมและทางเจริญคนมีปัญญาจะมองเห็นว่าสิ่งนี้เป็นทางแห่งหายนะจึงละเว้นไม่ยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วย
๕) ทำให้สร้างฐานะเป็นปึกแผ่นได้คนมีปัญญาแม้จะยากจนขัดสนในเบื้องต้นก็ใช้ปัญญาช่วยในการทำมาหาเลี้ยงชีพและประสบความสำเร็จได้
๖) ทำให้เข้าใจโลกและชีวิตและมีความเมตตากรุณาต่อคนทั่วไป
๗) ทำให้เป็นคนมีเหตุผลมีใจกว้างยอมรับฟังคนอื่น คนมีปัญญาจะเรียนรู้อยู่เสมอยอมรับคำแนะนำและความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ถือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ เป็นคนมีเหตุผล
สมาธิ
สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่นแห่งจิต หมายถึง ภาวะที่จิตคิดจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียวในระยะเวลาหนึ่ง เช่น การอ่านหนังสือ ขณะอ่าน จิตจดจ่ออยู่กับเรื่องที่อ่านไม่ฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่น เป็นต้น
ประเภทของสมาธิ แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑) สมาธิที่มีโดยธรรมชาติ คือ สมาธิที่มีมาเองโดยไม่ต้องฝึก ทุกคนจะมีมากมีน้อยแล้วแต่บุคคล เช่น เวลาอ่านหนังสือ อ่านรู้เรื่องดี สนุกสนานเพลิดเพลินกับการอ่าน เพราะมีสมาธิ สมาธิโดยธรรมชาตินี้มิใช่ว่าจะมีทุกเวลา จะมีก็ต่อเมื่อเราตั้งใจจดจ่อต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเลิกตั้งใจสมาธิก็จะไม่มี
๒) สมาธิที่ต้องพัฒนา หมายถึง สมาธิที่เกิดจากการฝึกปฏิบัติ ซึ่งได้แก่ การพัฒนาสมาธิที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาตินั้นให้ถูกวิธี เพื่อให้มีพลังมากกว่าเดิม จะได้นำไปใช้ในกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของสมาธิ
๑) ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ทำให้ผ่อนคลาย หายเครียด ลดความวิตกกังวล ความหวาดกลัว
๒) ช่วยในการพัฒนาบุคลิกภาพ เช่น ทำให้เป็นผู้มีความมั่นคงในอารมณ์ บุคลิกเข้มแข็ง มั่นคง
๓) เป็นจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึง สมาธิที่แนบแน่น มั่นคง จะทำให้มีความสงบ แน่วแน่ สามารถระงับกิเลส และพร้อมจะก้าวสู่ความมีปัญญา รู้แจ้งในความจริง
การเจริญปัญญาตามหลักโยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการ แปลว่า การทำไว้ในใจโดยแยบคาย หมายถึง การใช้ความคิดที่ถูกวิธี กล่าวคือ มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิด พิจารณาสืบค้นคิดหาเหตุผล ตลอดจนแยกแยะและวิเคราะห์ปัญหาด้วยปัญญา มองปัญหาตามความเป็นจริง หรือมองสิ่งทั้งหลายตามสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย
ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงสอนว่าการศึกษาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบและรอบด้าน จนเข้าใจปัญหาต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริง เรียกว่า การคิดแบบโยนิโสมนสิการ ซึ่งมี ๑๐ วิธีคิดด้วยกัน แต่ในชั้นเรียนนี้นักเรียนจะได้ศึกษาวิธีคิดแบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม และวิธีคิดแบบคุณโทษ และทางออก
การคิดแบบโยนิโสมนสิการ มี ๑๐ วิธีคิดด้วยกัน คือ
๑) คิดแยกแยะส่วนประกอบ
๒) คิดแบบคุณโทษและทางออก
๓) คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
๔) คิดแบบสัมพันธ์หลักกับเป้าหมาย
๕) คิดแบบแก้ปัญหา
๖) คิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา
๗) คิดแบบคุณค่าแท้คุณค่าเทียม
๘) คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม
๙) คิดแบบอยู่ในปัจจุบัน
๑๐) คิดแบบแยกประเด็น