การเจริญปัญญาแบบโยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการ คือ การทำในใจให้แยบคายวิธีคิดอย่างรอบคอบ โดยสืบค้าหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุแยะแยกจนสามารถเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเหตุปัจจัยกับผลที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการแห่งการใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา
วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการมีหลายวิธีที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งกำจัดอวิชชาและบรรเทาตัณหาไปพร้อมกันได้ แบ่งได้ ๑๐ วิธี กล่าวคือ
๑. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
๒. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ
๓. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์
๔. วิธีคิดแบบอริยสัจ หรือคิดแบบแก้ปัญหา
๕. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์
๖. วิธีคิดแบบเห็นคุณโทษและทางออก
๗. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม
๘. วิธีคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม
๙. วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน
๑๐. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท
๑.วิธีคิดแบบสามัญลักษณะ
วิธีคิดแบบสามัญลักษณะ คือ วิธีคิดแบบไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์ แปลว่า สามัญลักษณะหรือลักษณะทั่วไปของสิ่งทั้งปวง ๓ ประการ ได้แก่
๑.อนิจจตา ๒.ทุกขตา ๓.อนัตตตา
๑.อนิจจาตา เป็นภาษาบาลี แปลว่า ความไม่เที่ยง
ตัวอย่างในแง่ของมนุษย์
เช่น มนุษย์ในสภาพเบื้องต้นจากการเป็นเด็กทารกแล้วเติบโตจนเป็นวัยผู้ใหญ่
ตัวอย่างในแง่สิ่งไม่มีชีวิต
เช่น บ้านหลังนี้เมื่อสร้างเสร็จทาสีสวยงาม ครั้นเวลาผ่านไปกลายเป็นบ้านเก่า
๒.ทุกขตา หรือ ทุกข์ ความหมายถึง ความคงทนอยู่ไม่ได้ อันเนื่องมาจากความไม่สมบูรณ์ในตนเอง มนุษย์คนเราไม่สามารถบังคับให้คงอยู่สภาพเดิมอยู่ได้ เพราะร่างกายล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง
เช่น จากผมดำกลายเป็นผมหงอก
๓.อนัตตตา แปลว่า ความไม่ใช่ตัวตนและความไม่มีตัวตนที่แท้จริง ความไม่ใช่ตัวตนในแง่มนุษย์ ดูได้จากร่างกายของมนุษย์ว่าเกิดขึ้นมาจากการประกอบกันของอวัยวะ เช่น แขน ขา ศีรษะ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งนั้น (จึง)มิใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา”
๒.วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน
วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึง วิธีคิดเฉพาะเรื่องปัจจุบัน ไม่ไปยึดติดและใส่ในในเรื่องของอดีตที่มันผ่านมาแล้ว และไม่พะวงถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
เช่น กำลังอ่านหนังสืออยู่ใจก็จะอยู่ที่หนังสือไม่คิดเรื่องอื่น